คณะผู้บริหาร กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการ บริษัท เอ็กซาซีแลม จำกัด


19 มี.ค. 2562    ปฐมพงษ์    5

วันที่ 19 มีนาคม 2562 นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายเจตนิพิฐ รอดภัย เลขานุการกรม สำนักงานเลขานุการกรม นายวาที พีระวรานุพงศ์ ผู้อำนวยการกองพัฒนาดิจิทัลอุตสาหกรรม นางสาวนิรามัย ศิริศรีสุดากุล ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที 1 นางสาวหนึ่งหทัย ธรรมพิทักษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 2 นางเฉลา ศรีเพ็ชร์ ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 3 และคณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมผลการดำเนินงานของสถานประกอบการที่ได้รับการส่งเสริม พัฒนา และสนับสนุนจาก กสอ. ณ บริษัท เอ็กซาซีแลม จำกัด โดยมีคณะผู้บริหารบริษัทฯ ให้การต้อนรับ พร้อมทั้งกล่าวสรุปผลการดำเนินงานโดยรวมของบริษัทฯ และนำเยี่ยมชมกระบวนการผลิตต่าง ๆ

บริษัทดังกล่าว เป็นผู้ผลิตทันตกรรมเทียม (ฟันปลอม) ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยผลิตฟันปลอมในรูปแบบต่าง ๆ ให้กับคลินิกทันกรรมและโรงพยาบาลของประเทศไทย รวมถึงส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ ด้วยคุณภาพในมาตรฐาน ISO13485 และมาตรฐานระดับสากลต่าง ๆ มีใบรับรองแหล่งที่มาและคุณภาพวัตถุดิบ ซึ่งบริษัทฯ จัดได้ว่ามีกระบวนการผลิตที่ทันสมัยที่สุด ได้แก่ ระบบ Intra oral scanner and digital model ซึ่งเป็นการสแกนช่องปากและสร้างเป็นพิมพ์ปากสำหรับการหล่อฟันเทียม ทำให้สะดวก รวดเร็ว มีการส่งงานแบบออนไลน์ ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้รับการส่งเสริมและสนับสนุน จาก กสอ. ในโครงการต่าง ๆ ทำให้เกิด้แนวทางในการพัฒนารูปแบบธุรกิจอย่างรอบด้านทั้งในด้านการผลิต การบริหารจัดการ และการพัฒนาบุคลากร เช่น สามารถปรับผังโรงงานใหม่เหมาะสมกับกระบวนการผลิต มีความรวดเร็วในการรับคำสั่งซื้อและการสั่งงาน และสามารถลดอัตราของเสียได้ โดยล่าสุดทางบริษัทฯ ยังได้เข้าร่วมโครงการเพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมระบบเพื่อเฝ้าติดตาม และตรวจสอบดูแลการทำงานของเครื่องจักร (Machine Monittoring System) เพื่อตรวจจับการเคลื่อนไหวร่างกายของพนักงานในแต่ละวัน และเชื่อมต่อผ่านระบบการจัดการข้อมูล เพื่อบริหารจัดการพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการติดตั้งระบบเซ็นเซอร์ดังกล่าวทำให้ประสิทธิภาพของการผลิตฟันปลอมจาก 400 ชิ้นต่อเดือนเป็น 480 ชิ้นต่อเดือน คิดเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิตที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 หรือคิดเป็นมูลค่า 1.2 ล้านบาท